วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556

การเตรียมตัวสอบ NL part 1,2

ไปเจอบทความนี้มาจากเวป http://www.thaimedinter.com โดยคุณ pimthita
เนื้อหาค่อนข้างเยอะ แต่ก็น่าอ่านเพราะเธอบรรยายจากความประสบการณ์ตรง

** หมายเหตุ**
เนื้อหาที่โพสต์นี้ดึงมาจากกระทู้ที่มีการโต้ตอบกันระหว่างคุณ  pimthita กับสมาชิกในบอร์ด
แต่ข้อความที่สมาชิกท่านอื่นโพสต์ถามเธอ ไม่ได้เอามาด้วยนะครับ

เกิ่นนำก่อนว่า..ตั้งแต่แพทยสภาประกาศจัดสอบใบประกอบโรค
และตั้งแต่ปี 2549 นักศึกษาแพทย์ทั่วประเทศก็ต้องสอบเหมือนกัน..
กลายเป็นความซวยของนักศึกษาแพทย์คนหนึ่ง..ที่ครั้งนั้นเพิ่งจะรู้ตัวเองว่าจะต้องเข้าทดสอบในปีหน้า..
เมื่อข้ามฟากมาเรียนที่คณะวิทย์ พยาไท ..ชีวิตเปลี่ยนจากปี1 ที่ศาลายามาก
ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป เพราะตอนเรียนปีหนึ่งอาจารย์ก็สอนทุกอย่าง
อยู่ที่นี่..การเรียนห้องเรียน L. ไม่เคยมีการลงชื่อเข้าเรียน ฉันเองยังตื่นไปเรียนไม่ไหวบ้าง..
การเรียนการสอนแบบ PBL ที่เพิ่งเปลี่ยนมาใช้เมื่อปีที่แล้ว..
ความรู้สึกส่วนตัวชอบการเรียนแบบนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะได้ความรู้เท่าไหร่ เพียงพอรึยัง?
ชีวิตตั้งแต่ปีหนึ่งนั้นเพื่อนก็โทรตามไปเข้าเรียนบ่อยๆ นอกจากบางวิชาที่ชอบ(ซึ่งไม่ใช่วิชาการเท่าไหร่)ก็จะไปเรียน
เพราะปีหนึ่งเคยใช้ชีวิตเฮฮามาตลอด ..พอข้ามฟากอยู่ไกลเพื่อนก็เกเรบ่อยๆ
ความคิดไว้แค่ว่า เราไม่อยากจะลำบากไม่อยากจะเครียดในตอนนั้นก็พอแล้ว



แต่ถึงขึ้นอยาก depress เพราะรุ่นพี่ที่เพิ่งสอบมีคนไม่ผ่านด้วย..
ฉันคงจะเป็นทุกข์มาก ถ้าปีหน้าสอบไม่ผ่าน.. คงเป็นคนเดียวเพราะเพื่อนในกลุ่มต้องผ่านแน่ๆ
จากที่ไม่เคยสนใจอะไรต้องเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
ด้วยเพราะไม่อยากจะอาย ไม่อยากจะโดนว่า ไม่อยากจ่ายตังเพิ่ม หรือไม่อยากจะโดนทิ้งก็ตาม

ตารางเรียนเทอมสุดท้ายเดือนมีนาคมก่อนสอบแสนโหด
ปีนั้นที่คณะปิดเทอมสัปดาห์กว่าๆ ก่อนสอบและกลุ่มเราวางแผนการติวหนังสือกันเองตั้งนานล่ะก็เพิ่งว่างตอนนี้แหล่ะ
เราใช้ข้อสอบของปีที่แล้วเป็นหลัก(เพราะปีที่แล้วสอบเป็นปีแรกและพี่ๆจดข้อสอบกันมาเกือบ 300 ข้อ)
เราเอาข้อสอบมาเฉลยเปิดหนังสือหาคำตอบด้วยกัน ทุกคนหยิบหนังสือที่ชอบมาคนละเล่มสองเล่ม
แรกๆก็ช้าแต่ก็ได้แนวความคิดดีๆจากเพื่อนแต่ละคนหลายอย่าง แต่มันเร็วกว่าอ่านเองทั้งหมดคนเดียวแน่นอน
และผลสอบปีนั้นกลุ่มของเราผ่านไปได้ด้วยดี..จากการอ่านหนังสือด้วยกัน


ตอนนี้นักศึกษาแพทย์ที่เมืองไทยอาจจะมีอาจารย์ช่วยติวให้มากขึ้น
แต่ตอนนั้นอาจารย์ที่คณะไม่ได้จัดติวให้ก่อน (เหมือนตอนนี้ที่น้องๆติวที่คณะวิทย์กัน)
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็อ่านหนังสือตามข้อสอบที่เค้าเคยออกกันอ่ะนะ
เพราะเวลาอ่านหนังสือสอบน้อยเสมอ..อ่านทั้งหมดก็ไม่ไหวเหมือนกัน
เราจะรู้สึกว่ามีเรื่องที่ยังไม่รู้อีกเยอะมาก และพอคิดว่าเราไม่รู้ก็ยิ่งรู้สึกเครียดมากกับการสอบ
ทั้งที่การสอบแค่ครั้งหนึ่งๆไม่ได้ทำให้ชีวิตเราหายไปทั้งชีวิตหรอกนะ -*-

สำหรับหนังสือเตรียมสอบพิมไม่ได้เน้นมาก ก็ใช้ทั้งหนังสือภาษาไทย แล้วก็ text
ตอนอ่านกับเพื่อน ..หนังสือเล่มที่พิมหยิบไป..พิมเองก็เปิดอ่านมันได้ดีและก็มั่นใจที่จะสอนเพื่อนให้จำแบบนั้น
แนวข้อสอบทุกปี ..ก้ออกตามเกณแพทยสภา ไม่ได้ออกนอกเหนือจากนั้น
เกณผ่านแต่ละปี 55-58 เปอร์เซ็นต์ ถ้าอ่านด้วยกันจะรู้ว่าอะไรเรารู้บ้าง อะไรเราไม่รู้ และบางเรื่องที่เราต้องรู้ด้วยหรอนี่?
การเป็นคนส่วนน้อยที่กลับมาเรียนและสอบที่เมืองไทยต้องรวมกลุ่มและสามัคคีกันมากๆ
จึงจะผ่านไปได้เพราะช่วยเหลือกัน..
-*-

ปีต่อๆมา มีแนวข้อสอบมากขึ้น น่าจะสบายใจมากขึ้นนะค่ะ
ข้อสอบไม่ได้ออกเหมือนเดิม แต่ต้องลองทำก่อน..ว่าเรื่องไหนเรารู้ เรื่องไหนเราไม่รู้..ก็หาหนังสือเพิ่ม
หนังสือเล่มไหนอ่านรู้เรื่องก็อ่าน u-smile step1 step2 step up พิมก้ใช้นะ
ส่วนหนังสือภาษาไทยอ่านทั้งของศิริราช กับจุฬา
แต่สิ่งที่สำคัญคือ การรวมกลุ่มอ่านหนังสือ ติวกันกับเพื่อนมากกว่า
1. เราจะได้ไม่ต้องอ่านหนังสือหนักมาก
2. จะได้ทบทวนเนื้อหา บทเรียนที่เราอ่านไปแล้ว
3. ไม่ต้องเครียดมาก รู้สึกว่ามีคนอยู่ข้างเราตลอด
4. เพื่อนสอนวิธีคิด และบางทีเราก็ได้ทบทวนว่าเราเข้าใจผิด..

ข้อสอบ part1.  เป็น basic Sc. ทบทวนดีๆ ข้อสอบไม่ได้ยากมาก
ตอนนี้พิมเตรียมสอบ part2. มี pool ข้อสอบที่เฉลยไว้เยอะ
แต่ก็ต้องมาติวกันแบบเดิมๆ เพราะเพื่อนๆก็มีเรื่องที่ถนัดและไม่ถนัดมาช่วยๆกัน-*-

ที่ผ่านๆจะตัดคะแนนอิงเกณฑ์นะค่ะ ถ้าปีไหนคะแนนสูงมากก็จะอยู่ 50ปลายๆเลย-*-
แต่ปีนี้จะมีน้องมหาวิทยาลัยเปิดใหม่อีกสอบด้วย ก็เลยไม่แน่ใจเหมือนกัน
ถ้าตัดเป็นเปอร์เซ็นต์ไท 60 ก็ถือว่าโหดนะนี่ -*-
เพราะคะแนนสอบของมหาวิทยาลัยพิมเองยังไม่เกาะกลุ่มกันเลยอ่ะ คนที่เป็นขั้นเทพขั้นเทวดามาเกิดก้มี

แต่การที่จะผ่านไม่อยากให้ฝืนเล่นเกมตามพวกนั้นให้มาก 555+
(พอดีไม่ใช่คนขยันสักเท่าไหร่ แล้วก็ไม่ได้เกิดมาเก่งตั้งแต่เกิด หุหุ).. พอโตสมองซีกซ้ายทำงานน้อยด้วย อ่านอะไรก็ไม่ค่อย get
limbic system อยู่ดีๆมันก็ฝ่อ เรียนไปเรื่อยๆก็ลืม เหอะ..เหอะ
เพราะฉะนั้นการยอมรับและประเมินตัวเองตามความสามารถของตนเองให้ถึงจุดหมายก็พอ

และอย่างที่พิมเคยบอกในวันแรกๆ พิมอยู่ได้ก็เพราะเพื่อน.. และพิมคงจบได้เพราะเพื่อนจริงๆ
ข้อสอบที่แพทยสภาออกจะออกแปลเป็นภาษาไทยแล้วเกือบหมด
จะมี key word ของข้อสอบแต่ละข้ออยู่แล้วบ้างนอกจากเป็นความจำจริงๆก็ต้องจำแหล่ะ-*-
สถาบันแต่ละสถาบันในไทยเองเค้าก็จัดการเรียนการสอนไม่เหมือนกัน ที่พิมเรียนก็เป็น eng. หมดทั้งตอนสอบ
แต่ก็เป้นเนื้อหาที่แพทยสภากำหนดไว้ว่าต้องรู้อยู่แล้วและมันอาจจะกว้างมากๆบางหัวข้อ
กลุ่มของพิมมี6-7 คนเอง เราก็แบ่งๆกันอ่านแล้วก็มาสอนเพื่อนอีกที
ในความรู้สึกพิมคิดว่า ..พิมอ่านหนังสือเพื่อตัวเองไม่ได้มากจริงๆ พอเหนื่อยหรือเบื่อก็อยากพักแล้ว(สอบช่างมันเหอะ)
แต่ถ้าต้องมาสอนเพื่อน..พิมไม่อยากจะบอกอะไรผิดๆ ก็เลยต้องเข้าใจมาก่อน ทำให้รู้มากขึ้นด้วย
เรื่องที่เพื่อนอ่าน เราก็เชื่อแล้วจำไปท่องเลย (เพราะกว่ามันจะพูดได้..คงสรุปมาแล้วล่ะ)
หลังๆ เราก็เรียกคนอื่นมาติวที่โต๊ะของเราด้วยเพราะเรารู้สึกว่าไม่อยากให้เค้าเดินคนเดียว
(เพราะเวลาเค้าเป็น extern ต้องหารเวรกันกับเรา เหอะ..เหอะ ..........ไม่งั้นกรูเหนื่อย*2)
เข้าใจด้วยว่าสอบแต่ละทีมันเหนื่อยง่ะ.. ต้องเรียน6ปีมันก็มากล่ะชีวิตวัยรุ่นที่หายไป
นี่คงเป้นการเรียนระบบเมืองไทยมั้ง.. ที่สอนเป็นต่อๆ


ที่ผ่านมาพิมวางตัวเป็นกลางๆนะสำหรับคนที่เรียนที่นี่หรือไปที่ปินส์
เพราะพิมก็ไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรจริงๆตอนม.6 จึงเดินแบบนี้และพิมก็เคยเสียใจมากที่เรียนคณะนี้ด้วย
ตอนที่เลือกมา..พิมลืมมองถึงจุดยืนตัวเองจริงๆว่าอยากจะเป็นอะไร
พิมเคยใช้ชีวิตแย่ๆตอนเป็นนักศึกษา แต่ทุกคนกลับมองเราเป้นคนในกลุ่มหนึ่งที่ดีเหลือเกิน โห..เชื่อใจเรามากอ่ะ
จนวันแรกเลยที่ขึ้นคลีนิกช่วยพี่เค้า CPR คนไข้20กว่าๆเสียไปคนหนึ่ง ..ใจมันทุกข์มากมาย
แฟนเค้าที่เอาข้าวมาเยี่ยมตอนเช้ากับต้องมารับศพ และไม่รู้ว่าไคจะเดือดร้อนบ้าง-*-พิมก็เสียใจ

พิมรู้สึกดีว่า..พิมไม่ได้ตั้งใจเหมือนหลายๆคนที่ดั้นด้นไปเรียนมาเพื่อแค่อยากเป็นหมอ..
พิมเดิน round ward วันแรกกลับมาร้องปวดขาจะตาย
พิมไม่ค่อยอดทนเกือบทุกเรื่อง ..นั่นแหล่ะที่พิมยอมรับว่าให้พิมไปเรียนจากเมืองไทยไปคงไม่ได้..

ที่ต้องสอบและสอบให้ผ่านแพทยภาก็ถูกต้องแล้ว..แพทย์ที่นี่สอบผ่านก็อยากให้สอบผ่านด้วย
การที่ใครเค้าพูดอะไรก็ไม่ต้องตามเค้ามากหรอก  เรื่องมันไม่จบ-*-
เราทุกคนมีเหตุผลที่เลือกตัดสินใจทำแต่ละอย่างที่ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนก็พอเป็นหลักอยู่แล้ว
บางทีจึงไปทำให้คนอื่นเค้ารู้สึกเจ็บและเสียใจทีหลัง..
ถ้าเราเก็บความคิดของคนอื่นมาใส่ในหัวก็ทำให้ตัวเองไม่มีความสุขซะป่าวๆ..


ก็เลยอยากให้รวมกลุ่มกันอ่านหนังสือเอง(เพราะเราเองก็ใช้วิธีนี้)

ให้คนอื่นติวให้ไม่ได้ช่วยมาก

สำหรับการสอบ part 1. ที่เมืองไทยก่อนขึ้นคลีนิกสำคัญมาก
..ถึงแม้จะมีเวลาสอบอีกหลายครั้งในเวลา3ปีที่เหลือก็ตาม
เตรียมความพร้อมก่อนไปสอบดีๆนะค่ะ(ช่วงจบปีนี้จะพร้อมที่สุดแล้ว..)
หลัจากนั้นจะไม่ค่อยมีใครทบทวนเรื่อง basic SC. ให้
และถ้าสอบผ่าน partแรกไปจะสบายใจมากตอนเรียนคลีนิก
เพราะการเรียนคลีนิกจะแตกต่างกันกับพรีคลีนิก เป็นความรู้ที่ใช้ดูคนไข้จริงๆ

ความรู้สึกเหนื่อยท้อแท้มันเกิดขึ้นแต่ละช่วงของชีวิตคนเราได้เสมอแหล่ะ
เรียนที่เมืองไทยแต่ละปีก็จะมีคนที่ต้องเรียนซ้ำบ้างอยู่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่เกิดจากความไม่รับผิดชอบ
และการปรับตัวเข้ากับคนอื่นไม่ให้เกิดปัญหามากกว่า*-*
  เป็น extern มาสองอาทิตย์ขึ้นวอร์ด med. ก่อนด้วยที่รพ.มหาราช
ช่วงที่นศพ. ที่นี่ยังไม่ขึ้น ward
ทั้งที่ดูคนไข้มาตั้งแต่ปีสี่ บางวันยังยืนเอ๋อๆอยู่หน้าเตียงคนไข้ตอนเช้า
สายที่อยู่นี้ก็อย่างโชคดีเหลือเกิน..มีพี่เด็นท์ผู้ชายคนหนึ่งกับเพื่อน extern รามาอีกคนหนึ่ง
อยู่กันสามคน-*- (ตามสบายน้อง..พี่เค้าพูดงั้น)
ยืนงง..order ตัวเองอยู่ตั้งนาน และเหล่าพี่พยาบาลก็ถามตลอด..
"นี่น้องหมอจะสั่งอย่างนี้หรอค่ะ?".. อ้าว-*- ก็เหมือนพี่(เด็นท์)เค้าจะบอกมาอย่างนั้นนะ
พิมก็เลยต้องถามเค้าไปว่า "เออ..แล้วเค้าต้องสั่งยังไงหรอค่ะ"
เพิ่งเข้าใจว่า ถ้าทำตัวเป็นเด็กดี ฟังเค้าบอกเค้าสอนไว้ จะไม่โดนปลุกให้มาทำงานตอนอยู่เวรมาก-*-
วันแรกๆเจอหนักมาก สายน้ำเกลือมีปัญหา คนไข้ดึงtube อยู่เวรต้องลุกมาใส่ตอนที่3 ตีสี่
ลืมเซ็นต์ใบออร์เดอ ก็โทรตามเราให้มาจนได้
  และยังมีคำถามของอาจารย์กะพี่เด็นท์ทุกวัน case consult, morning report อยู่เวรวันเว้นวัน-*-
เพื่อนสนิทในกลุ่มอยู่ ward เด้กก็ชะตากรรมเดียวกัน และเหมือนว่าจะหนักกว่าอีก
เด็กโตต้องตื่นมาให้ยาเคมีตอนตีสอง ไม่รวมพวกชักและปัญหาอื่นๆ
โดน notified ตามเรามายืนงงๆ.. ว่า ***แล้วนู๋ต้องทำอะไรค่ะพี่ (ถามพยาบาลไป..เค้ารู้มาก)
ถ้าเค้ามีคำตอบเราก็โทรตามเค้า -*-
ถ้าไม่มีคำตอบ เราก็โทรตามพี่แล้วพี่เด็นท์ก็จะสั่งทางโทรศัพท์มา-*- เออ รู้สึกโง่อีกล่ะ ทำไรไม่ได้สักอย่าง

เด็ก new born ก็ขยันเกิดจริงๆ เหล่าพยาบาลตามให้ไปดูlab จาทุกชั่วโมงเลยมั้ง
hypogly. polycye. เราก็ออร์เดอเองว่าจะดูเลปหลังคลินิคอลดีทุกชั่วโมง เค้าก็ตามนะสิ*
(ถ้าช่วงปัญหายัง active อยู่ก็ไม่ได้นอนอยู่แล้ว เพราะยืนทำงาน ดูเด็กน้อยจาทุกนาทีอยู่แล้ว..)
และถึงเลปมันดี พยาบาลเค้าก้อยากจะฟังแค่เราพูดว่า "นู๋ว่าเลปมันก็ดีอยู่นะพี่"
เวลานอนไม่มี โทรมสุดๆ
ตอนนี้ room mate ยังไม่ได้คุยกันเลย
กลับมาทีไรก็เห็นนอนหลับเป้นตายทุกวัน-*-
บางวันก็บ่นกันว่า "โดนพี่กินหัวมาอีกแล้ว .." (พี่intern,Resident,รวมทัง้พยาบาล)
ความสุขและความฝันของทุกวันนี้ จึงขอแค่ให้มีเวลานอนหลับพักผ่อน ได้กินข้าวอย่างสบายใจ
ขอแค่ให้ ward สงบสุข แค่นี้ก็พอใจแล้วอ่ะค่ะถึงไม่ทุกวันก็เหอะ

และวันพรุ่งนี้จะสอบใบประกอบโรค NT part2. แล้ว
ยอมรับว่าไม่ผ่านก็จะทำใจ เพราะช่วง2อาทิตย์นี้ไม่ได้ทำอะไรเลย
คุณภาพชีวิตก็แย่เหลือเกิน-*-

ถ้าเรามองปัญหาว่าเกิดขึ้นจากตรงไหนออก เข้าใจและรู้ว่าจะแก้ไขมันอย่างไรก็ไม่ต้องเครียดหรอกค่ะ
ถ้าเป็นแต่ก่อนเจอปัญหาเหมือนตอนนี้ พิมอาจจะขอพักแล้วกลับบ้านไปแล้ว
แต่มองดูเพื่อนตอนนี้ เค้าก็มีสภาพไม่ต่างจากเราเลยนี่นา


คุณmedicinex หรือใครบางคนที่กำลังคิดว่าตัวเองกำลังปรับตัวอยู่ ให้กำลังใจตัวเองและคิดในแง่ดีๆ ก็ดีแล้ว
เราเจอปัญหาและอุปสรรคไม่เหมือนกัน เคยมีคนสอนว่า อุปสรรคปัญหาเหมือนภูเขาลูกหนึ่งแหล่ะ
ถ้าเราเคยเจอภูเขาลูกที่เล็กกว่านี้ เราก็จะคิดว่า ภูเขาลูกนี้นั้นช่างใหญ่เหลือเกิน-- คงเหนื่อยและท้อกว่าจะเดินข้ามไปได้
แต่ถ้าเราเคยเจอภูเขาลูกที่ใหญ่กว่านี้ ภูเขาลูกนี้ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าที่เราจะข้ามไปได้นี่นา
แต่ถ้าเราไม่ลองเดินข้ามภูเขาลูกที่ใหญ่มากๆที่สุดในสายตาเรา แล้วเราจะเคยข้ามภูเขานั้นหรอ
การตัดสินใจลงมือทำอะไรสักอย่าง
ความสำเร็จมันขึ้นอยู่กับว่า คุณเลิกล้ม มันแล้วหรือยัง-*-
คนเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษสุด เพราะคนเรามีความคิด ความฝัน และจุดมุ่งหมายของชีวิต

หายไปนานเลย-*- พอดีอาจารย์ส่งไปทำวิเคราะห์ระบบที่รพช. ไม่ได้ว่างแวะเข้ามาตอบ เหอะๆ
ข้อสอบของ part 1 จริงๆแล้วเราเพิ่งสอบเป็นปีที่สอง จึงมีแค่เฉลยของปีก่อนหน้าเราแค่ปีเดียว
ส่วนของปีเราที่จดๆข้อสอบกันมาก็ส่งให้รุ่นน้องปีต่อไปเรียบร้อยแล้ว
ข้อสอบก่อนหน้าเราปีหนึ่งที่มาฝึกทำอ่ะ(ปี49) ไม่ได้เฉลยลงเป็น file -*-
ตอนนั้นที่คณะเค้าเอามาแบ่งข้อกันเฉลย แต่ละคนก็ทำเฉลยคนละข้อสองข้อ แล้วเอามาเย็บเล่มรวมกันมีแค่ปีเดียว
-*- เราไม่แน่ใจว่า รุ่นน้องปีต่อๆมาเค้าแบ่งกันจำแบ่งกันเฉลยยังไงนะ
และข้อสอบของปีเรากะที่เราทำเฉลยไว้ตอน part1 เราเอาไปให้เพื่อนที่พระมงกุฏ(เพื่อนสนิทอ่ะ)
เพราะเพื่อนเรามาเลือกเรียนพระมงกุฏเป็นรุ่นน้องเราปีหนึ่ง
part1 เราก็เลยไม่ได้เก็บอะไรไว้เลย

สำหรับ part2 พอดีเราเพิ่งสอบไปเดือนมีนานี้(52)
ก่อนสอบเพื่อนที่มน. เค้าทำเฉลยของปี51 ไว้เป็น file ส่งมาให้ดูก่อนอ่ะ-*-
ส่วนข้อสอบปีก่อนๆหน้านั้น ไม่รู้ว่าเพื่อนเค้าเอามาจากที่ไหนกันบ้าง
ก็มีของจุฬากับ มอ. ที่พี่ๆเค้าใจดีเก็บไว้ให้ทุกปี
ศูนย์แพทย์เค้าถ่ายเอกสารมาให้ แต่พี่เค้าก็เก็บคืนนะ เพราะส่วนใหญ่สอบผ่านกันหมด
พอผ่านกันแล้วก็ไม่ต้องใช้อีก -*- แต่เล่มหนึ่งๆหนามาก ข้อสอบก่อนปีเราเกิดก็มี
บางปีเราก็ไม่อ่านอ่ะ เพราะความรู้มันเก่าแล้ว
อย่างข้อสอบ k-type ก็ไม่ได้เอามาออกกันแล้ว เราก็ดูเป็นตัวอย่างเฉยๆ
ข้อสอบสูติ กับจิตเวชน่าอ่านเพราะเนื้อหาวิชาตายแล้วไม่ได้ไปไหนต่อ
ก็เลยดูแต่ละปีเทียบๆกัน ไม่ได้อ่านย้อนไปหลายปีอ่ะ
(-*- แต่เราก็อ่านไม่ทันหรอก เหอะๆ.. ไม่มีปิดเทอม -*- )

เคยมีพี่เขียนไว้ว่า อาจารย์บางท่านเค้าไม่ชอบ/ไม่เห็นด้วยกับการจดข้อสอบออกจากห้องสอบเหมือนกัน
แต่พี่เค้าก็สอนว่า การดูข้อสอบเก่า ไม่ได้หมายความว่าให้เราจำข้อสอบเก่าไปตอบ
แต่ทบทวนว่าเนื้อหาไหนที่เรายังไม่รู้เรื่อง ยังไม่เข้าใจให้ไปเปิดอ่านก่อน
และดูว่าเนื้อหาไหนที่เค้าอยากให้เรารู้ แต่เรายังไม่รู้บ้างก็ลองเปิดอ่านทำความเข้าใจ
การทำข้อสอบเก่าให้หมด ไม่ได้ช่วยทำให้สอบผ่านจริงๆเลย แต่การดูคนไข้และรับผิดชอบงานปัจจุบันที่ทำอยู่สำคัญกว่า
 round ward อยู่ทุกวัน ดูคนไข้อยู่ทุกวัน
เห็นอาการ เห็นโรคคนไข้อยู่บ่อยๆ ไม่เข้าใจตรงไหนก็อ่านเพิ่มเป็นเรื่องๆ
(ที่คณะอาจารย์เค้าถึงไม่สนใจให้ปิดก่อนสอบ หรือมาติวให้มาก ส่วนใหญ่เราจึงรวมกลุ่มแบ่งไปติวกับเพื่อนๆกันเอง)
เพราะเนื้อหาที่ออกสอบก็เป็นเรื่องที่เรียนๆกันมาปีสองปีแล้ว
พอถึงวันสอบก็ไปสอบ-*-
ถ้าสอบไม่ผ่าน ก็ต้องกลับไปเตรียมตัวใหม่ เตรียมตัวว่าเราพร้อมจริงๆหรือยังที่จะก้าวต่อไป
การสอบผ่านไม่ผ่าน**ไม่ได้สำคัญมาก เพราะไม่ผ่านก็ยังมีครั้งต่อๆไปให้สอบจนผ่านค่ะ

ข้อสอบที่อยู่ในเมลล์พิมมีเท่านั้นค่ะ
ส่วนที่เป็นเล่ม ศูนย์แพทย์เค้าเรียกเก็บคืน(กับคนที่สอบผ่านแล้ว)
มีเพื่อนในคณะสี่คนที่ยังไม่ผ่าน แต่เราไม่ได้สนิทมากอ่ะ

อย่ายึดติดกับข้อสอบหรือกังวลกับการสอบมากเลยนะค่ะ
ข้อสอบไม่ได้ยากเกินไปค่ะ
เราใช้เวลาเรียน 5-6 ปี สำหรับการสอบเพียงสามครั้งเท่านั้น ซึ่งพิมก็คิดว่ามากพอสำหรับการทำข้อสอบ
แต่ความรู้ที่ใช้จริงๆ ต่อไปนั้น วันนี้เองที่เป็นปีสุดท้ายแล้ว ก็ยังคิดว่ามีหลายเรื่องที่ยังไม่รู้อีกค่ะ

ตอนสอบ part1 ก็เคยมีปัญหากับเรื่องข้อสอบเหมือนกัน
part1 สอบตอนปีสาม ก็เตรียมตัวมาสอบอย่างเต็มที่ในตอนนั้นแล้ว
อยู่ดีๆ ก็มีข่าวข้อสอบปีนั้นของแพทยสภารั่ว เรากับเพื่อนก็เคยวุ่นไปหาข้อสอบชุดนั้นที่เค้าบอกว่าจะออก
ได้มาตอนเที่ยงคืนจากเมลล์เพื่อนคนหนึ่งที่เค้าบอกว่าคณะของเค้าส่งให้
เป็นข้อสอบแบ่ง part 2p parts 300 ข้อพอดีเลย
ไม่มีเฉลย นั่งทำกับเพื่อนถึงตี3 กว่าแทบอาเจียน-*- ออกละเอียดบางเรื่องมากมาย ไม่เคยรู้
น่าเศร้าใจจริงๆ สอบตอนเช้าไม่เหมือนสักข้อ ถึงตอนบ่ายแทบหลับเป็นตายทำข้อสอบไม่ไหวล่ะ
โดน toxic มาชัดๆ รวมๆแล้วมีเหมือนข้อสอบที่ทำเมื่อคืน 3-4 ข้อ-*- เอง
ไม่น่าเชื่อพวกนั้นเลยว่ามีข้อสอบรั่วอ่ะ (ทำเอาเราไม่ได้หลับได้นอน ตัดกำลังเราชัดๆ 555+) -*-
แล้วก็คิดได้.. ว่าถ้าข้อสอบที่ทำเป็นข้อสอบจริงนะ ก็มีหลักฐานอยู่ในมือชัดๆ คงต้องสอบใหม่
มาตรฐานแพทยสภาก็ยังคงมีอยู่ -*-
เคียงกันนิดๆ แต่ไม่ได้โทดใครหรอก เพราะไม่รู้ว่าต้นตอจริงๆมาจากใคร
ขำๆไป -*- (ที่โง่ไปเชื่อได้ กำของพวกเราเอง..)
ผ่านมาได้แบบไม่ได้ทบทวน ถ้าต้องตกเพราะหลับก่อนทำข้อสอบเสร็จคงเสียดายตังค์ 555+
(ข้อสอบมันก็เยอะจริงๆนะ 300 ข้อ ทำแล้วแทบกะอักเลือด ในวันเดียว)
แต่ไปเรียนการประเมินคุณภาพมา ถ้าข้อสอบออกน้อยกว่านี้ ใช้วัดความรู้ไม่ได้ (ซะงั้น-*-)

สอบ part ที่สอง ใครชวนไปทำอะไรอีกก็ไม่ไปล่ะ พักผ่อนดีกว่า ไม่ได้ round ward ตั้งหนึ่งวัน เหอะๆ -*-..

ทุกคนควรตั้งใจเรียนและทบทวนอยู่เรื่อยๆ ดีแล้วค่ะ
ถ้าจะหาข้อสอบไปไว้อ่านก่อนสอบไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรจริงๆ (มั้ง)..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น